วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



วัดหลวงพ่อพระใส


พระธาตุหลวงเวียงจันร์

ประตูไชย


ทําเนียบนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว



หอพระแก้ว


สะพานไทย-ลาว


สะพานไทย-ลาว


สะพานไทย-ลาว


สะพานไทย-ลาว

ภาพพระพุทธเจ้า

สีรุ้ง

วิทยา ชินรัต

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรม

   ธรรมพักใจฉบับที่แล้วได้กล่าวถึงกาลเวลาที่ได้ล่วงผ่านไปอยู่ทุกขณะ โดยนำเสนอให้ท่านใช้สติในการพิจารณาการกระทำของท่านเพื่อก่อให้เกิดปัญญาที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมะพักใจฉบับนี้จะขอเสนอเกี่ยวกับ คำว่า ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรม โดยทั้งสามคำนี้เป็นขั้นตอนในการศึกษาธรรมะการนำธรรมะไปปฏิบัติและผลของการปฏิบัติธรรมนั่นเอง


             ปริยัติธรรม คือ การเล่าเรียนศึกษาธรรมะ ให้รู้ถึงสมมุติ บัญญัติกล่าว คือชื่อที่เรียก สำหรับพูดให้รู้กัน เช่น โบสถ์ บริเวณโบสถ์ ต้นไม้ต่างๆ ฯลฯ โดยเป็นชื่อที่แต่งตั้งขึ้นมาร่วมกัน ให้ทุกคนรับรู้ร่วมกันเรียกร่วมกัน แม้บุคคลเรานี้เองก็เป็นสมมุติบัญญัติ เช่น ชื่อสำหรับเรียก ว่าคนนั้น ชื่อนั้น คนชื่อนี้ เมื่อมีสมมุติบัญญัตินี้ ทุกคนจึงต้องเรียน ไม่ว่าจากการ ฟังการเห็นด้วยตา การจำได้หมายรู้ ซึ่งเราทุกคนก็ได้เรียนกัน มาตั้งแต่เกิดขึ้นมา พอรู้เดียงสา พ่อแม่ก็ได้ทำการสอนให้รู้สิ่งนั้น รู้สิ่งนี้ จะเรียกสิ่งนั้น สิ่งนี้ยังไง สำหรับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องเรียน คือเรียนให้รู้จักสมมุติบัญญัติที่เป็นภาษาธรรมะ เช่น คำว่า จิตภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ขันธ์ ๕ นามรูป สมถะ วิปัสสนา ฯลฯ ฉะนั้นเสลาเราฟังธรรมะ เราจึงจะสามารถเข้าใจว่าคำที่ใช้ในธรรมะนั้นหมายถึงอะไร และสามารถพูดคุยในเรื่องของธรรมะได้รู้เรื่อง และสามารถนำมาปฏิบัติตามได้ ดังนั้นในขั้นตอนของการปริยัติธรรมนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีความสามารถแสวงหาได้มากเท่าได้สามารถจดจำได้มากเท่าใด

             ปฏิบัติธรรม คือ การนำธรรมะมาปฏิบัติ และมีจิตเพ่งพินิจอยู่ในธรรมเสมอๆ ซึ่งเป็นการใช้เวลาที่ผ่านไปๆ ให้เป็นประโยชน์ การที่เราจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ เราก็จะต้องมีการปริยัติธรรมมาก่อน ยิ่งเราเรียนรู้มากก็จะส่งผลต่อการปฏิบัติธรรมของเราไปด้วยแต่สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องนำธรรมะที่ได้ศึกษาแล้วไปปฏิบัติด้วย มิฉะนั้นก็จะได้เพียงแต่รู้เฉยๆ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆเลย ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรมก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีความสามารถในการปฏิบัติได้เพียงไร


ปฏิเวธธรรม คือ ผลที่ได้ตามการปฏิบัติ ก็หมายถึงการก่อให้เกิดการดับทุกข์ โดยขออธิบายถึงผลของการปฏิบัติดังนี้
             กายวิเวก ความสวลสวัดทางกาย มีความหมาย คือ ความสงบ ทั้งทางกาย วาจา และเนื่องมาถึงจิต จากภัยเวรทั้งหลาย หรือจากบาปอกุศลทุจริต ทั้งหลาย เช่นศีล ๕ เมื่อตั้งใจงดเว้นจากความประพฤติผิดศีล ๕ ก็เป็นการรักษากรรมทั้ง ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

             จิตตวิเวก ความสงบสงัดทางจิต คือสงบจิตใจจากนิวรณ์ทั้งหลาย สงบสงัดจากกามฉันท์ คือ ความติดใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจทั้งหลาย แล้วก็สงบสงัดจากพยาบาท คือความกระทบกระทั่ง ขึ้งเคียด โกรธแค้น ขัดเคือง มุ่งปองร้าย สงบสงัดจากถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม สงบสงัดจากความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ สงบสงัดจากความเคลือบแคลง สงสัยทั้งหลาย เมื่อจิตใจได้ความสงบสงัดดังนี้ ก็เป็นจิตตวิเวก

             อุปธิวิเวก ความสงบสงัดจากกิเลสที่รบกวนจิตใจ เมื่อกล่าวโดยส่วนรวม ก็คือความสงบสงัดจากโลภโกรธหลง หรือราคะ ความติดใจยินดี โทสะความขัดเคืองประทุษร้ายใจตัวเอง โมหะ ความหลง สงบสงัดจากตันหาความดิ้นรนทะยานอยากไปต่างๆ ดิ้นรนทะยานอยากไปในกามบ้าง ในภพความเป็นนั่นเป็นนี่บ้างในวิภพความไม่เป็นนั่นเป็นนี่บ้าง

          
   ในขั้นตอนของการปฏิบัติธรรม นั้นเบื้องต้น จะสามารถทำได้ยาก เพราะว่าตามปกติของจิตนั้น จะพยายามดิ้นรนกระสับกระส่ายไปในอารมณ์ ที่ยึดถือไว้ต่างๆ ที่เก็บไว้ต่างๆ และบางทีก็มีความยึดถืออยู่ในสิ่งนั้นบ้างสิ่งนี้บ้าง น้อยบ้างมากบ้าง เป็นปกติ แต่หากว่าเราอาศัย อาตาปะ ความเพียร คือตั้งความพากเพียรพยายาม สัมปชานะ หรือ สัมปชัญญะความรู้ตัว สติ ความกำหนด และตั้งใจละยินดียินร้าย ที่เกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์นั้นๆ เป็น ๔ ประการ ก็จะพึงก่อให้เกิดปฏิเวธ คือผลของการปฏิบัติ และจะเริ่มได้สุขอันเป็นเหตุให้พึ่งปฏิบัติ ยิ่งๆ ขึ้นไป


*หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา โดยลิขสิทธิเป็นของผู้เขียน ที่ให้เกียรตินำเผยแพร่ผ่าน วิชาการ.คอม เรามีความยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น กรุณาให้เกียรติผู้เขียน โดยอ้างชื่อผู้เขียนและแหล่งข้อมูลทุกครั้งที่ทำการเผยแพร่ต่อ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อในสื่อที่เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบคุณที่ร่วมกันช่วยสร้างให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา
Creative Commons License
สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต ครีเอทีฟคอมมอนส์ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย.
ท่านสามารถนำเนื้อหาในส่วนบทความไปใช้ แสดง เผยแพร่ โดยต้องอ้างอิงที่มา ห้ามใช้เพื่อการค้าและห้ามดัดแปลง
http://www.vcharkarn.com/varticle/43621  ลิค์ที่มาของบทความ

"อภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน2475"

คณะราษฎร
หมุดทองเหลืองของคณะราษฎร




ปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475 กับการมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก
การปฏิวัติ 2475 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบรัฐธรรมนูญสยาม มูลเหตุของการปฏิวัติสามารถสรุปได้ดังนี้
เกิดจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เผชิญวิกฤตการณ์ 2 ประการ ได้แก่
-ประการที่แรก คือการเผชิญวิกฤตการณ์ภายนอก ได้แก่ การเคลื่อนไหวเรียกร้อง Constitution ก่อเกิดเหตุการณ์กบฏ ร.ศ.103 และ Parliament (ร.ศ.130)
-ประการที่สองคือการเผชิญวิกฤตการณ์ภายใน กล่าวคือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เกิดความขัดแย้งสูงและเป็นระบอบที่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้นาน
การเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ.2475 เกิดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองที่เรียกตนเองว่า คณะราษฎร เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองคือต้องการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) หรือ (Limited monarchy)
คณะราษฎรที่อยู่ปารีส
คณะราษฎรประกอบด้วยกลุ่มคณะราษฎรที่อยู่ต่างประเทศ ได้แก่
1.ปรีดี พนมยงค์
2.ร.ท. แปลก ขีตตะสังคะ
3.ประยูร ภมรมนตรี
4.ร.ท.ทัศนัย นิยมศึก
5.ตั้ว ลพานุกรม
6.แนบ พหลโยธิน
7.หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี)
ผู้นำฝ่ายทหารคณะราษฎร
กลุ่มคณะราษฎรฝ่ายทหารบก และทหารเรือ :ผู้นำฝ่ายทหาร
1.พันเอก พระยาทรงสุรเดช
2.พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
3.พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์
4.พันโท พระประศาสน์พิทยายุทธ
เมื่อ เช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ทหารบกและทหารเรือถูกระดมให้มารวมตัวที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศว่าได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลรัชกาลที่ 7 เรียบร้อยแล้ว เมื่อเหตุการณ์สงบ คณะราษฎรได้ส่งหนังสือราชการทูลเชิญ ร.7 ซึ่งอยู่ที่วังไกลกังวล หัวหิน ให้กลับมาเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ต่อมาวันที่26 มิถุนายน 2475 ร.7 ทรงยอมรับการเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและทรงพระราชทานอภัยโทษแก่คณะ ราษฎร
หลัก 6 ประการของคณะราษฎร
1.เอกราช
2.ความปลอดภัย
3.เศรษฐกิจ
4.สิทธิเสมอภาค
5.เสรีภาพ
6.การศึกษา
เมื่อ 27 มิถุนายน 2475 ทรงลงพระปรมาภิไธยไทยในรัฐธรรมนูญ(ชั่วคราว) ฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชั่วคราว พุทธศักราช 2475 สาระสำคัญคือ
-อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎร
-ผู้ใช้อำนาจแทนราษฎร
1.กษัตริย์
2.สภาผู้แทนราษฎร
3.คณะกรรมการราษฎร
4.ศาล
-กษัตริย์เป็นประมุขและเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ
-กำหนดให้ ส.ส มีอำนาจออก พ.ร.บ. ทั้งหลาย และดูแลควบคุมกิจการของประเทศ
-คณะกรรมการราษฎรใช้อำนาจตามประสงค์ของสภา
-ศาลใช้อำนาจเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนั้น
หลังการปฏิวัติได้เชิญ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศสยาม
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก
ลิงค์ ย้อนรอยรัฐประหารไทย ตอนที่1 ปฏิวัติสยาม 2475
http://www.youtube.com/watch?v=HE0SburUIy4